การแพทย์ทางเลือก
www.shicu.com ได้รับข้อมูลเรื่องนี้มาจาก คุณพรศักดิ์ ลิ้มบุญยประเสริฐ shi 36 ให้ช่วยประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ให้ด้วย เหตุหนึ่งก็เพราะคุณหมอพลอากาศตรีนายแพทย์ ขวัญชัย เศรษฐนันท์ ในเรื่อง เป็นศิษย์ผู้พี่
เมื่อผมได้อ่านเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว ก็เห็นแจ้งว่าสอดคล้องกับประสพการณ์ตรงของผมด้วย จึงอาสาประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ในฐานะผู้สนับสนุน โดยขอ edit บางข้อความออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงการประชาสัมพันธ์เพื่อวัตถุประสงค์ทางพาณิชย์โดยเจาะจง หวังว่าท่านเจ้าของเรื่องรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องคงไม่ขัดข้อง
การแพทย์ทางเลือก |
การตรวจสุขภาพด้วยเครื่องมือมีเท็คโนโลยีก้าวหน้าไปมาก แต่ที่สุดเครื่องมือนั้นยังต้องอาศัยประสพการณ์และความชำนาญของการอ่านค่า ตีความผลจากเครื่องมือนั้นๆ จากผู้เชี่ยวชาญแท้จริง |
พลอากาศตรีนายแพทย์ขวัญชัย เศรษฐนันท์ เป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถดังกล่าว .. คุณหมอขวัญชัยจบแพทยศาสตร์จากจุฬาฯ ปี 2517 เป็นหมอในสังกัดกองทัพอากาศตั้งแต่ปี 2518 จบสูตินารีแพทย์ปี 2523 และการที่เป็นแพทย์ที่หันมาสนใจเรื่องการแพทย์ทางเลือกอย่างจริงจังก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยทั่วไป |
."ผมเริ่มสนใจธรรมชาติบำบัดเมื่อ 7-8 ปีก่อน เพราะคุณพ่อเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ทั้งๆที่กินยาอย่างดีที่สุด ระดับไขมันท่านปรกติ ความดันปรกติ ทุกอย่างดีหมด แต่หัวใจวายแล้วเสียเลย |
ต่อมาคุณแม่เป็นอัมพาต เส้นเลือดในสมองแตก ระดับไขมันและความดันท่านก็ปรกติเหมือนกัน ผมกับพี่เขยซึ่งก็เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจช่วยกันดูแลท่านทั้งสองอย่างดีมาตลอด |
ส่วนพี่เขยผมนี่หัวใจวายตายตอนอายุ 57 ปี เท่านั้น ตายก่อนคุณแม่ผมอีก...ผมเริ่มไม่เชื่อในการรักษาที่ทำกันอยู่ |
ตัวผมความดันสูงมาตั้งแต่อายุ 35 ปี รักษาไม่หาย ความดันไม่ลง ตรวจไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร บอกได้แต่ว่าเครียด...เครียดอย่างเดียว ทั้งที่ออกกำลังกายตลอด ระวังเรื่องอาหารการกิน |
|
เมื่อเรากินอาหารที่แพ้เข้าไป หรือมีสารที่ย่อยไม่ได้ตกค้างอยู่ในเลือดมาก ร่างกายจะสร้างแอนตี้บอดี้มาจับสารเหล่านั้น เรียกว่าอิมมูน คอมเพล็กซ์ |
อิมมูน คอมเพล็กซ์ (แอนตี้บอดี้ที่จับสารแปลกปลอมแล้ว) ต้องใช้เม็ดเลือดขาวมากินแล้วทำลายทิ้ง แต่พอร่างกายสร้างแอนตี้บอดี้มากๆ ภูมิต้านทานของร่างกายจะลดต่ำลง เม็ดเลือดขาวที่จะมากินอิมมูนคอมเพล็กซ์เลยลดลงไป ทำให้อิมมูนคอมเพล็กซ์เหลือ พอเหลือก็ไปเกาะตามอวัยวะต่างๆ เกาะตรงไหนก็จะดึงเม็ดเลือดขาวมาทำลายมัน ก็พลอยทำลายอวัยวะนั้นไปด้วย เรียกว่าภูมิทำลายตัวเอง ส่วนใหญ่ที่โดนหนักคือไตกับผิวหนัง บางคนที่เป็นมากฝ้าจะขึ้นหน้า |
ผมศึกษาเยอะมากแล้วเริ่มปรับใช้กับตัวเอง เริ่มเปลี่ยนอาหาร คือกินผักมากขึ้น กินทุกวันและเกือนทุกมื้อ ความดันก็ลง กินผลไม้ ลดแป้งลงเกือบหมด เกือบจะไม่กินน้ำตาลเลย ยกเว้นบางวันที่ไปเฮฮากับเพื่อน...ผักนี่กินผักสดเป็นหลักผักต้มกินน้อย เพราะต้องการเอ็นไซม์ซึ่งมีแต่ในผักสดเท่าน้น ผักที่ปรุงมาไม่มีเอ็นไซม์แล้ว...เอ็นไซม์เป็นสารที่สำคัญมากๆ ถ้าไม่มีเอ็นไซม์วิตามินก็ทำงานไม่ได้ |
ร่างกายสร้างเอ็นไซม์เองได้..เท่าที่ตรวจเจอตอนนี้มีประมาณ 3,000 ชนิด แต่ประมาณกันว่านี่ยังไม่ถึง10% ของทั้งหมด...และมีเอ็นไซม์บางตัวที่ร่างกายสร้างไม่ได้อยู่ในผักสดผลไม้ |
พอศึกษาสัก 4 ปี ผมก็มั่นใจพอที่จะไปคุยกับเพื่อนหมอด้วยกัน แต่เขาต่อต้าน เพราะการเรียนแพทย์บางทีไปมุ่งเน้นที่อวัยวะนั้นๆ นั่นคือการเรียนแพทย์ที่ลงลึกเกินไป...โชคดีที่ผมเรียนสูติฯ มีข้อดีที่ต้องดูแลคนเป็นแม่ทั้งตัว ทำให้รู้สึกว่าการดูแลคนไข้จะดูเฉพาะอวัยวะเป็นส่วนๆ ไม่ได้ |
จริงๆหมอทุกคนฟังรู้ว่าการดูแลสุขภาพทั้งตัวหรือดูแลแบบองค์รวมฟังดูใช่ แต่คงต้านเพราะไม่อยากเรียนใหม่..อย่างผมศึกษาแพทย์มา ก็ใช่ว่าดูหนังสือ 2-3 เล่มแล้วเข้าใจนะ |
อยากเอาไปใช้ในโรงพยบาลที่ทำงาน ก็ไปคุยกับเจ้ากรมแพทย์และผู้ใหญ่ในโรงพยาบาลว่าน่าจะเปิดแผนกธรรมชาติบำบัดให้คนไข้มะเร็งเพราะได้ผล...ถ้าคนไข้ไม่มีเงิน แทนที่จะให้คีโมใช้เงินมหาศาส ก็ให้น้ำเกลือ ให้วิตามินซี เปลี่ยนอาหารซะ ทำโรงครัวอีกโรงให้เขา นั่นคือธรรมชาติบำบัด |
ผมไม่ได้เข้าไปในเรื่องสมุนไพร เพราะไม่ได้ศึกษาทางนั้น ต้องยอมรับว่ารู้เรื่องนั้นน้อย แต่จะเน้นเรื่องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนวิธีการกิน ออกกำลังกาย กินน้ำให้ถูกต้อง ทำสมาธิ...ผมไม่ได้ศึกษาเรื่องสมาธิ แต่รู่ว่าเมื่อไรจิตคุณสงบต่อมหมวกไตจะทำงานดีขึ้น หยุดหลั่งฮอร์โมนเครียด...พอไม่มีฮอร์โมนเครียดเส้นเลือดก็ขยายตัว การไหลเวียนของเลือดก็ดีขึ้น ความดันก็ลง อวัยวะต่างๆทำงานดีขึ้นเพราะได้รับเลือดไปเลี้ยงพอ...คอเรสเตอรอลก็ลด พอลดปั๊บภูมิคุ้มกันเพิ่ม แล้วร่างกายจะแข็งแรง นี่คือพื้นฐาน |
ฉะนั้นกายกับจิตต้องสมดุล จิตต้องเป็นนาย กายต้องเป็นบ่าว ถ้าจิตคุณดีร่างกายคุณจะทำงานดีมาก |
ปรากฏว่าผู้ใหญที่เราไปคุยด้วยไม่มีใครรับเลย...!" |
คุณหมอขวัญชัยจึงลาออกมาทำคลีนิคธรรมชาติบำบัดที่บ้าน และศึกษาแนวทางนี้ต่อ จนกระทั่งได้รับการทาบทามมาประจำที่ศูนย์... |
"เริ่มจากผมไปบรรยายเรื่องมะเร็ง แล้วเจอคุณหมอจักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์ ที่ตอนนั้นเป็นผู้อำนวยการกรมการแพทย์ทางเลือก ไม่นานหมอก็เชิญผมมาลองทำพาร์ทไทม์ที่ศูนย์...อยู่ 7-8 เดือนก่อนจะทำมาได้ปีเศษนี่เอง" |
เครื่อง MRIT |
"ที่นี่มีอะไรหลายอย่างที่ผมไม่รู้และทึ่งมาก เช่นเครื่อง MRIT (Morecular Resonance Imaging Technology) เคยเห็นเมื่อ 3 ปีที่แล้วในการประชุมแห่งหนึ่ง บรษัทผู้ผลิตเขามาเอง ก็ยังสงสัยว่าเป็นจริงอย่างที่เขาคุยหรือ ว่าเห็นอวัยวะข้างในหมดเลย...ตอนนั้นไม่ได้สนใจ หมอคนอื่นๆก็ไม่เชื่อ แม้ว่าทาง รัสเซียเขาจะใช้เครื่องนี้ตรวจสุขภาพของนักบินอวกาศก็ตาม |
พอมาเห็นที่นี่ผมก็ลองใช้ตรวจตัวเองดู ผลตรงกับที่รู้อยู่แล้ว คือความดันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ มีปัญหาตับอ่อนนิดหน่อย มีปัญหาระบบย่อยอาหาร |
หลักการคือส่งคลื่นเสียงความถี่ต่ำไปกระทบอวัยวะแล้วสะท้อนกลับมา เครื่องก็วัดค่าคลื่นนั้น...แต่ละคลื่นสามารถแยกได้ว่าเป็นโรคหรือมีอาการอย่างไรบ้าง ตรวจคนไข้บ่อยๆ วินิจฉัยบ่อยๆ ถามเขาว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าอย่างนี้หรือเปล่า ปรากฏว่าตรงกับที่อ่านค่าออกมาหมด ก็ชักเชื่อ....อย่างคนไข้หนุ่มๆ ตัวเลขชี้ว่าขี้ลืม ผมก็ถามว่าขี้ลืมหรือ เขารับว่าใช่ เป็นประเภทความจำระยะสั้นเสีย...บางคนวางกุญแจปุ๊บ ลืมแล้วว่าวางตรงไหน บางคนบอกเข้าห้างไปแล้วต้องเดินกลับมาล็อกรถใหม่ทุกครั้ง |
แต่อาการอย่างนี้แก้ได้ด้วยการปรับวิถีชีวิต กินอาหารเสริมความจำ คือน้ำมันปลา ทำให้เซลล์สมองได้รับอาหาร ..ผักช่วยเรื่องนี้ได้ แต่น้อย |
อาการที่ผมทึ่งว่าเครื่องไม่น่าจะตรวจได้แต่กลับตรวจรู้ คือมะเร็ง หรือต่อมลูกหมากโต หรือมีก้อนเนื้อ(ซีสต์) เช่นในรังไข่ ในมดลูก เต้านม ดูค่าปุ๊บ เป็นถุงน้ำมีก้อน.....ให้คนไข้ไปทำอุลตร้าซาวด์พิสูจน์ ก็พบจริงๆ เราก็แนะนำได้ถูกว่าคุณต้องปรับปรุงเรื่องดื่มน้ำ เรื่องอาหาร มีน้ำย่อยน้อย ต้องกินอาหารยังไง |
ซีสต์นี่เป็นเรื่องฮอร์โมน ปรับปรุงเรื่องอาหารแล้วฮอร์โมนจะปรกติเอง...อย่างคนที่น้ำย่อยเสียทั้งหลายถามไปเถอะ ดื่มนมถั่วเหลืองทุกคน เพราะนมถั่วเหลืองมีสารต้านน้ำย่อย ทำให้ท้องอืด ...น้ำย่อยเสียคือน้ำย่อยน้อยลง เอ็นไซม์ที่จะช่วยย่อยอาหารจึงน้อยลง...คนที่ชอบนมถั่วเหลืองควรดื่มไม่เกินวันละกล่อง (30 กรัม หรือ 240 ซีซี หรือ 8 ออนซ์) แต่ถ้ากินนมถั่วเหลืองแล้วยังกินเต้าหู้อีกอันตรายแล้ว เพราะจะไปหยุดการสร้างน้ำย่อย แล้วมีฮอร์โมนผู้หญิงที่เป็นเหตุให้เกิดมะเร็งเต้านมได้ แล้วยังเป็นตัวการทำให้การทำงานของต่อมไทรอยด์ลดลง..สังเกตคนที่กินมังสวิรัติกินเต้าหู้มากๆ ซีดทุกคน เพราะไม่มีน้ำย่อยที่จะย่อยโปรตีนกับวิตามิน...เมื่อย่อยไม่ได้ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารไปใช้ไม่ได้ โปรตีนลดลง วิตามินลดลง กินเสริมเข้าไปยังไงก็ไม่ไหว เพราะมีตัวคอยขัด ระบบการย่อยก็มีปัญหา |
คือเราเป็นหมอ เวลาเราอ่านค่าเรื่องโปรตีน เรื่องระบบย่อยอาหาร ผมนึกภาพออกว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นอย่างไร...ถ้าไม่ได้เรียนแพทย์มาอาจนึกภาพไม่ออก ความเข้าใจจะไม่เหมือนกัน การเป็นหมอทำให้ศึกษาเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ใช่ไม่ใช้เวลา ผมใช้เวลา 7-8 ปี นานพอๆกับที่เรียนแพทย์ แล้วตอนนี้ผมก็เชื่อว่ารู้น่าจะยังไม่ถึง 10% ของความรู้ทั้งหมด |
การตรวจสุขภาพจะมีสองส่วน นอกจากใช้เครื่อง MRIT แล้ว ยังเจาะเลือดหนึ่งหยดที่ปลายนิ้วมาส่องกล้องดูด้วยกำลังขยาย 400 เท่า ดูว่าคุณภาพเลือดเป็นอย่างไร เรียกว่า Live Blood Analysis ทั่วไปแล้วจะต้องเห็นเซลล์เม็ดเลือดแดงกระจายเป็นเม็ดๆ แต่คนยุคปัจจุบันมักจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงจับตัวเป็นแถวซ้อนกันแน่น ในนั้นยังมีสารโลหะหนักที่สะท้อนแสงแวววาวเรียก ครัสตัล.....ถ้ามีสีแดงหรือขาวแสดงว่าได้รับจากมลภาวะ แต่ถ้าเป็นสีเหลืองแสดงว่าไม่ได้ถ่ายท้องช่วงเช้า ทำให้สารพิษในลำไส้ดูดซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือด...ก่อนเจ็ดโมงเช้านั้นสำคัญ เพราะร่างกายดีท็อกซ์ตัวเอง ถ้าเขากวาดพิษไปกองไว้แล้วไม่ได้กำจัดออกไป พิษนั้นจะย้อนกลับเข้ามาใหม่ ถึงจะขับถ่ายเวลาอื่นก็ยังย้อนกลับมาได้ |
อย่างถ้าเห็นเม็ดเลือดแดงเข้าแถวซ้อนกัน ก็รู้ได้เลยว่าค่าเลือดเป็นกรด...เลือดนี่ต้องเป็นประจุลบ ค่า pH (Hydrogen Ion) ประมาณ 3.4 แล้วเม็ดเลือดจะผลักกันเอง กระจายตัวได้ดี เลือดไหลเวียนในหลอดเลือดง่าย...แต่ถ้ากินแป้งมาก กินโปรตีนจากเนื้อสัตว์มากจะมีประจุบวกเยอะ ทำให้เม็ดเลือดแดงบางเม็ดเป็นบวก บางเม็ดเป็นลบ มีแรงแม่เหล็กดูดติดกัน เลือดอย่างนี้จะไหลไปไหนก็ไม่ดี |
แล้วถ้าเลือดเป็นกรด อย่างนี้นานๆ คุณตาย ร่างกายเลยแก้ด้วยการดึงแคลเซียมออกมาจากกระดูกเพื่อให้เลือดเป็นด่าง...ยิ่งเป็นกรดมากก็ยิ่งดึงแคลเซียมออกมามาก กระดูกก็พรุน |
อีกโรคที่การตรวจเลือดแบบนี้บอกได้ค่อนข้างดีว่าเป็นหรือเปล่าคือ Leaky Gut หรือลำไส้รั่ว...ปรกติเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้จะติดกันแน่น แต่พอเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด กินเร็ว กระเพาะก็ส่งต่ออาหารโมเลกุลใหญ่ๆไปให้ลำไส้ นานเข้าช่องระหว่างเซลล์ผนังเยื่อบุลำไส้ก็เลยหลวม...อาการหลวมๆนี่ละที่เรียกลำไส้รั่ว...โมเลกุลใหญ่ๆของอาหารบางชนิดที่ผ่านช่องระหว่างเซลล์นี้ไปได้ โดยเฉพาะโปรตีนที่ไม่ย่อยพอเข้าไปในเลือดจะกระจายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ไปกระตุ้นให้ภูมิต้านทานของเราทำงาน ระบบในร่างกายเราก็รวนผิดปรกติไป สรุปสั้นๆว่าอาการผิดปรกติของคนยุคปัจจุบันมาจากปาก จึงต้องแก้ที่ปาก...ปรับอาหารให้เป็นด่าง คือกินผักเยอะมากๆ งดนม ซีส ถั่วเหลือง |
คุณรู้มั้ยว่าในผักผลไม้ทุกชนิดมีโปรตีน ถ้ากินผักและผลไม้ได้หลากหลายชนิดแล้วทานโปรตีนเช่นจากถั่วบางชนิด จากปลา สัตว์น้ำ เนื้อสัตว์อื่นบ้าง ก็ได้โปรตีนครบแล้ว ..ถ้าสั่งอาหารนอกบ้านกินอะไรก็ได้ที่มีผักเยอะๆสัก 1 ชาม ผักสดได้ยิ่งดี แล้วค่อยทานข้าวหรือเนื้อสัตว์แต่อย่าทานเยอะ...เนื้อสัตว์ทั้งวันกินแค่1 ฝ่ามือคุณก็พอ ราว 100 กรัม หรือ 400 แคลอรี..อย่ากินของทอด ของผัด ของหวานกับขนมปังนี่เลิกไปเลย เพราะขนมปังกับเค็กมีกลูเตนที่กระตุ้นภูมิแพ้ |
ส่วนคนที่อยากได้แคลเซียม ให้กินที่เป็นไบโอแคลเซียมเยอะๆ คือปลาเล็กปลาน้อย งาดำ ผักใบเขียว...แล้วออกกำลังกายถ้าไม่มีเวลามากก็เดิน ทำงานก็เดินขึ้นบันไดสิ 3-4 ชั้น สัก 15 นาที เดินไปเรื่อยๆไม่ต้องเร่ง แต่ถ้าเดินพื้นราบก็เดินเร็วๆ |
แล้วดื่มน้ำอย่างนี้...ตื่นเช้ามาดื่มน้ำ 2 แก้ว หนึ่งชั่งโมงหลังอาหารทุกมื้อให้ดื่ม 1 แก้ว...ก่อนนอนไม่ต้องดื่มเพราะไตต้องการพัก |
คนไข้ที่ไม่ฟังก็มีเยอะไป เขาเชื่อผลที่ตรวจออกมา แต่ไม่เปลี่ยนการกิน ไม่เปลี่ยนการใช้ชีวิต เพราะไม่อยากเปลี่ยน...บางคนอยากกินโต๊ะจีนอยากกินขนม หมอเป็นแค่คนนำทางคุณต้องไปปฏิบัติเองถึงจะเป็นผล...คนที่ไปปฏิบัติตามได้ผลทุกคนครับ มีคนนึงความที่เขาเป็นอาจารย์เป็นด็อกเตอร์ มีวินัยสูง ทำตามที่สอนทุกอย่าง น้ำหนักลดไป 12 กิโลภายในสองเดือน กระฉับกระเฉงเป็นคนละคนเลย" |
จากที่เคยจับต้นชนปลายไม่ถูกกับกรณีของคุณพ่อคุณแม่และพี่เขยตัวเอง ตอนนี้คุณหมอมีความสุขมากที่ช่วยคนอื่นๆได้ ส่วนตัวหมอเองก็เปลี่ยนไปเยอะ มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเพราะใช้ชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง |
32 watt |
|